ประวัติความเป็นมาของ SMS

SMS จัดว่าเป็นวิธีการสื่อสารที่สั้น และเรียบง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้นะคะ ในการติดต่อสื่อสารกับอีกฝ่าย เป็นเครื่องมือการสื่อสาร ที่ช่วยให้ชีวิตของคนเราง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะในทางการตลาด หรือการสื่อสารในชีวิตประจำวัน สามารถทำให้โต้ตอบกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นอิสระ และตรงไปตรงมามากขึ้นนั่นเองค่ะ

SMS ย่อมาจากคำว่า “ Short Message Service “ เป็นวิธีการสื่อสารที่ส่งข้อความระหว่างโทรศัพท์มือถือ (SMS หรือ SMPP) หรือจากพีซี หรืออุปกรณ์พกพาไปยังโทรศัพท์มือถือ (SMTP) นั่นเองค่ะ ส่วนคำว่า Short นั้นมีความหมายว่า “สั้น” ซึ่งมีที่มาจากขนาดสูงสุด ของข้อความที่มีการกำหนดไว้ที่ความยาว 160 อักขระ ประกอบด้วย ตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์ในอักษรละติน

ในปัจจุบันนี้ SMS กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนในยุคนี้ไปแล้วนะคะ แต่รู้หรือไม่คะว่า SMS มีที่มาอย่างไร? มีการส่ง SMS ครั้งแรกที่ไหน? ดังนั้นบทความนี้ จะพามาทำความรู้จักประวัติความเป็นมา หรือ วิวัฒนาการของ SMS กันนะคะ ตามมาดูพร้อมกันเลยค่ะ

 

ประวัติความเป็นมา และวิวัฒนาการของ SMS

     ปี 1984 : คอนเซ็ปต์ SMS ได้รับการพัฒนาครั้งแรกภาตใต้ Global System for Mobile communication (GSM) หรือ เทคโนโลยีดิจิตอล สำหรับช่องสัญญาณควบคุมและสัญญาณเสียงแบบ TDMA  ระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมัน โดย Friedhelm Hillebrand และ Bernard Ghillebaert

ปี 1992 (3 ธันวาคม) : ข้อความ SMS แรกถูกส่งออกไปโดย Neil Papworth ซึ่งเป็นอดีตผู้พัฒนา Sema Group Telecoms หน่วยงานพัฒนาโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแป้นพิมพ์ในขณะนั้น ดังนั้น Papworth จึงจำเป็นต้องพิมพ์ข้อความบนพีซี ข้อความ SMS แรกของโลกถูกส่งโดย Papworth คือ “Merry Christmas” ซึ่งถูกส่งไปให้ Richard Jarvis ที่ Vodafone โทรศัพท์มือถือที่พัฒนาโดย GSM รุ่นแรกๆ ส่วนใหญ่ไม่รองรับการส่งข้อความ SMS นะคะ SMS Gateway แรกสำหรับโทรศัพท์มือถือก็คือ SMS แจ้งเตือน จากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการแจ้งเตือนฝากข้อความเสียง และแจ้งเตือนการเรียกเก็บเงินนั่นเองค่ะ

    ปี 1993 :  Nokia เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายแรก ที่มีสายโทรศัพท์ GSM ทั้งหมดซึ่งทำให้มือถือของ Nokia รองรับการส่ง ข้อความ SMS

    ปี 1995 : โทรศัพท์ และเครือข่ายค่อยๆ ปรับการทำงานให้เข้ากับการ ส่ง SMS ได้ดีขึ้น

ปี 1997 :  Nokia ได้ผลิตโทรศัพท์รุ่น “Nokia 9000i Communicator” ซึ่งเป็นมือถือรุ่นแรกที่มีคีย์บอร์ดเต็มรูปแบบ จะเห็นได้ว่าการเติบโตเริ่มต้นของ SMS นั้นค่อนข้างช้า เช่นเดียวกับการเติบโตของเทคโนโลยีมใหม่ด้านอื่นๆ ผู้ใช้ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยส่ง ข้อความ SMS แค่ 0.4 ข้อความต่อเดือน และยังไม่รองรับการส่ง ข้อความ SMS ข้ามเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้

 ปี 2000 : ในที่สุดก็สามารถส่ง ข้อความ SMS ระหว่างเครือข่ายต่างๆ ได้ ซึ่งทำให้ ปี 2000 จำนวน ข้อความ SMS เฉลี่ยที่ส่งในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 35 SMS ต่อเดือนต่อคน โดยวิธีแรกๆ ที่ใช้กันทั่วไปในการพิมพ์ ข้อความ SMS ก็คือ  “การแตะหลายครั้ง” ปุ่มในโทรศัพท์มือถือ แต่ละหมายเลขจะเชื่อมต่อกับตัวอักษร 3-4 ตัว ตัวอย่างเช่น ปุ่ม “3” จะแสดง “D” “E” และ “F” การแตะหลายครั้งนั้นเข้าใจง่าย แต่ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ในช่วงปี 1990 Cliff Kushler ผู้ร่วมก่อตั้งของ Tegic ได้คิดค้น T9 ย่อมาจาก “Text on 9 keys” เทคโนโลยีระบบช่วยสะกดคำ ซึ่งจะแสดงคำที่ คุ้นเคยกับคำและวลีที่ผู้ส่ง ข้อความ SMS ใช้กันทั่วไป จากการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว แทนการแตะหลายครั้ง

ปี 2011 : Kushler ได้คิดค้น Swype ซึ่งเป็นคุณลักษณะการส่งข้อความ แบบหน้าจอสัมผัสที่ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถลากนิ้วเพื่อเชื่อมจุดระหว่างตัวอักษรในคำได้ แป้นพิมพ์แบบหน้าจอสัมผัส จะมีระบบตรวจสอบ และแก้ไขคำสะกดผิดอัตโนมัติ และความสามารถในการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ที่ผู้ใช้ทั่วไปนิยมส่งกัน ปุ่มพิมพ์มีขนาดใหญ่ขึ้น และแป้นพิมพ์สามารถปรับอัตโนมัติ ให้เข้ากับความกว้างของโทรศัพท์ตามแนวนอนและแนวตั้ง

จนมาถึงปัจจุบันนี้ แป้นพิมพ์ หรือคีย์บอร์ดได้กลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐาน สำหรับสมาร์ทโฟนไปแล้วค่ะ ซึ่งในปี 2007 ยังเป็นปีแรกที่ชาวอเมริกันส่ง และรับข้อความ SMS ต่อเดือนมากกว่าการโทรอีกด้วยค่ะ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้ SMS จึงจัดเป็นเครื่องมือการสื่อสาร ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้นะคะ นับเป็น 81% ของผู้โทรศัพท์มือถือที่มีการใช้ SMS กันเลยนะคะ เพราะว่าแล้ว SMS จึงได้กลายมาเป็นมากกว่า วิธีการส่งข้อความข้อความถึงผู้คนรอบตัว แต่ยังได้มีการนำมาใช้ ในเชิงการตลาดอีกด้วยค่ะ เรียกว่า SMS Marketing นั่นเองนะคะ และยังมีการนำมาใช้ ในการรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือ SMS OTP อีกด้วยค่ะ

 

ที่มา : https://www.mobivity.com/mobivity-blog/a-brief-history-of-text-messaginga